วันที่18 ธันวาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็น “วันผู้อพยพย้ายถิ่นสากล” (International Migrants Day) ซึ่งเป็นวันที่อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว ค.ศ. 1990  ได้รับการรับรองโดยองค์สหประชาชาติเพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญและคุณูปการต่อการพัฒนาทั้งประเทศต้นทาง ประเทศระหว่างทาง และประเทศปลายทางของแรงงานข้ามชาติ และเพื่อให้แรงงานข้ามชาติในประเทศต่างๆ ได้รับการคุ้มครองสิทธิทั้งสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน ด้วยหลักการที่ตระหนักถึงสิทธิและการได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมปราศจากการเลือกปฏิบัติด้วยความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว และเพศสภาพใด ๆ ต่อแรงงานข้ามชาติ จากรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การอพยพเคลื่อนย้ายของแรงงานจากประเทศหนึ่ง ไปยังอีกประเทศหนึ่งเพื่อทำงานหรืออยู่อาศัยเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วโลกมานานแล้ว โดยสาเหตุหลัก ๆ ของการเคลื่อนย้ายแรงงานคือ การมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ภัยธรรมชาติ ความขาดแคลน สงคราม หรือความขัดแย้งในประเทศของตนเอง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลกต้องเคลื่อนย้ายออกจากถิ่นฐานของตัวเอง เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม

ในประเทศไทย การย้ายถิ่นของแรงงานจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมีมานานโดยเฉพาะหลังทศวรรษ 2500 ประเทศไทยเริ่มปรับตัวเองสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม ความต้องการแรงงานจึงทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยจึงเริ่มมีนโยบายอนุญาตให้จ้างแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเริ่มให้มีการจ้างแรงงานข้ามชาติจากประเทศเมียนมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-เมียนมา หลังจากนั้นจึงได้เปิดให้มีการจ้างแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้นเป็น 4 สัญชาติ คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ปัจจุบันมีตัวเลขการจ้างแรงงานข้ามชาติ 4 สัญชาติที่ถูกกฎหมายกว่า 2 ล้านคน โดยร้อยละ 80 ของแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา ที่เหลืออีก 20 เปอร์เซ็นต์ คือ แรงงานจากกัมพูชา ลาว และเวียดนาม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาและการเติบโตด้านเศรษฐกิจสังคมของประเทศไทย แต่ทว่าแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่กลับยังไม่ได้รับสิทธิและเข้าไม่ถึงการปกป้องคุ้มครองตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน เช่น ไม่ได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ได้รับค่าจ้างทำงานในวันหยุด ต้องทำงานล่วงเวลาโดยไม่สมัครใจและไม่ได้รับค่าจ้างการทำงานล่วงเวลา ไม่มีวันหยุดประจำสัปดาห์และวันลาตามที่กฎหมายกำหนด เข้าไม่ถึงระบบประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน นอกจากนี้แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญกับค่าเรียกเก็บค่าดำเนินการทำเอกสารเกี่ยวกับการทำงานในอัตราที่แพงและมีการปรับขึ้นทุกๆ ปี เนื่องจากไม่มีการกำหนดอัตราที่ชัดเจนและการควบคุมจากรัฐ อีกทั้งขั้นตอนการดำเนินการทำเอกสารการทำงานที่มีหลายขั้นตอน และมีความล่าช้าในการออกเอกสารให้กับแรงงานซึ่งส่งผลกระทบต่อผลต่อการเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการและการเดินทางของแรงงานข้ามชาติ  

ในโอกาสนี้ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ จึงได้มีข้อเสนอมายังรัฐบาล และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่แรงงานข้ามชาติเผชิญอยู่ในปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรมโดยต้องดำเนินการเชิงรุกในการกำหนดความคุ้มครองทางกฎหมายและมุ่งเน้นให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานข้ามชาติด้วย ดังนี้

  1. รัฐต้องกำหนดนโยบายการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่เป็นระบบโดยมีนโยบายระยะยาว 5 – 10ปีที่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
    • รัฐต้องควบคุมค่าบริการในการดำเนินการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวกับการทำงานของแรงงานข้ามชาติของบริษัทจัดหางานในอัตราที่เหมาะสม โดยต้องจัดให้มีเวทีปรึกษาหารือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและภาคประชาสังคม เพื่อกำหนดอัตราค่าบริการดังกล่าวภายในปี 2569
    • รัฐต้องกำหนดมาตรการในการดำเนินการจัดทำเอกสารการทำงานของแรงงานข้ามชาติไม่ว่าจะเป็นบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ใบอนุญาตทำงาน และวีซ่า ให้เป็น One Stop Service
  2. ขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง และดำเนินการปรับปรุงกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เพื่อให้แรงงานทุกภาคส่วนมีเสรีภาพในการรวมตัวจัดตั้งสหภาพแรงงานหรือเข้าร่วม และการเจรจาต่อรองกับนายจ้างโดยไม่กระทบต่อการจ้างงาน
  3. รัฐบาลต้องปรับปรุงระบบประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนโดยออกกฎกระทรวงกำหนดให้แรงงานทุกคน ทุกอาชีพเข้าสู่ระบบประกันสังคมและได้รับการคุ้มครองจากกองทุนเงินทดแทนได้อย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ และแก้ไขกฎกระทรวงให้แรงงานข้ามชาติในระบบประกันสังคมที่ต้องการกลับประเทศต้นทางและไม่ประสงค์ที่จะพำนักในประเทศไทยอีกต่อไปสามารถยื่นรับเงินจากกองทุนบำเหน็จชราภาพได้ทันที
  4. รัฐต้องแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541ให้รับรองสถานภาพทางกฎหมายของแรงงานที่มีรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลายภายใต้ระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น แรงงานแพลตฟอร์ม ไรเดอร์ แรงงานพนักงานบริการ แรงงานสร้างสรรค์ แรงงานทำงานบ้าน แรงงานนอกระบบ แรงงานในภาคเกษตรที่ไม่มีการจ้างงานกันตลอดทั้งปี แรงงานข้ามชาติ เป็นต้น เพื่อสร้างความคุ้มครองครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน อย่างแท้จริง
  5. รัฐบาลต้องส่งเสริมและสร้างหลักประกันการเข้าถึงการจ้างงานของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และความคุ้มครองแรงงานผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยกำหนดมาตรการการจ้างงาน สภาพแวดล้อมการทำงาน ที่ไม่แบ่งแยก ไม่เลือกปฏิบัติ และเป็นมิตรต่อแรงงานผู้มีความหลากหลาย เช่น ห้องน้ำสำหรับคนทุกเพศ และนำพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
  6. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานหญิงโดยกำหนดให้การลาหยุดเนื่องจากเป็นวันที่มีประจำเดือนเป็นวันลาที่ได้รับค่าจ้าง และกำหนดให้ผ้าอนามัยเป็นสวัสดิการที่ผู้หญิงทุกคนเข้าถึงได้ฟรี
  7. รัฐบาลต้องยกเลิกพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี

เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ

18 ธันวาคม 2568