ข้อเสนอ Decent Work เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ 24 ต.ค. 2568
ยื่นให้รมว.แรงงาน ผ่านแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่
วันที่ 7 ตุลาคมของทุกปี ถือเป็นวัน Decent Work ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้ให้นิยามของคำว่า Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า ไว้ว่า ‘งานที่สามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของคนได้’ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ด้าน ได้แก่
- งานที่นำมาซึ่งโอกาสในการทำงานและรายได้ที่เป็นธรรม
- งานที่ทำให้รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเมื่ออยู่ที่ทำงาน
- งานที่สามารถสร้างความมั่นคง-ความคุ้มครองทางสังคมให้กับครอบครัว
- งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง
- งานที่ช่วยให้ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social integration)
- งานที่สนับสนุนการมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกถึงความห่วงกังวลต่าง ๆ
- งานที่สนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องใด ๆ ที่อาจจะกระทบกับชีวิตของผู้ที่ทำงาน
- งานที่ให้โอกาสและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมสำหรับหญิงและชายทุกคน (ความเท่าเทียมทางเพศ)
โดยหลักการ Decent Work ได้รับการสนับสนุนจาก UN มีการบรรจุอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ข้อที่ 8 อีกด้วย
กระนั้น แรงงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยทั้งแรงงานที่เป็นคนไทยและแรงงานข้ามชาติยังประสบปัญหาด้านการทำงานที่ขัดต่อหลักสากลอย่าง Decent Work อยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการขาดสวัสดิการที่เป็นหลักประกันความมั่นคงของแรงงานเอง โดยมีสาเหตุทั้งจากโครงสร้างที่ผลักแรงงานออกนอกระบบและสาเหตุจากการที่ถูกนายจ้างเอาเปรียบ, การมีค่าจ้างและชั่วโมงการทำงานต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, การบังคับใช้กฎหมายแรงงาน, การเลือกปฏิบัติระหว่างเพศและเชื้อชาติ ที่ส่งผลให้แรงงานเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย, และที่สำคัญที่สุด คือการขาดอำนาจต่อรอง ขาดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องใดๆที่กระทบต่อตัวเอง
ในวาระของ Decent Work นี้ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือและองค์กรในเครือข่ายจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้
ข้อเสนอเร่งด่วนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
- สนับสนุนร่างพรบ.คุ้มครองแรงงาน ของนายจรัส คุ้มไข่น้ำ ที่กำลังพิจารณาอยู่ในรัฐสภาขณะนี้ สาระสำคัญของพรบ.นี้ได้แก่การลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 ชม./สัปดาห์เหลือ 40 ชม./สัปดาห์ และเพิ่มวันหยุดพักผ่อนประจำปีจาก 6 เป็น 10 วัน ได้รับสิทธิเมื่อทำงานครบ 120 วัน เนื่องจากปัจจุบันแรงงานในภาคเหนือมีชั่วโมงการทำงานที่ต่อเนื่อง ยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าแรงงานภาคเอกชนไทยมีเวลาการทำงานเฉลี่ยสูงถึง 47.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในไตรมาส 4 พ.ศ.2567 ซึ่งตรงกับฤดูท่องเที่ยว ทำให้แรงงานขาดเวลาพักผ่อน ขาดเวลาในการใช้ชีวิต ขาดเวลาไปศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตัวเอง ซึ่งการขาดเวลาไปพัฒนาตัวเองนั้น เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจภาคเหนือไม่ได้รับการพัฒนามากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่มีสถานศึกษาที่ผลิตบุคลากรมีคุณภาพให้สังคมได้จำนวนมาก นอกจากนี้ การลดเกณฑ์ใช้สิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลือ 120 วัน จะส่งผลดีต่อแรงงานภาคเหนืออย่างมาก เนื่องจากแรงงานจำนวนมากในภาคเหนือโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวมีระยะเวลาการทำงานที่สั้น มีการจ้างงานระยะสั้นสูง แรงงานจำนวนมากที่ทำงานไม่ครบ 1 ปีตามกฎหมายเดิม จะไม่มีโอกาสได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย จะทำให้สอดคล้องกับหลักการที่ 4 ของ Decent Work คือ งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง
- สนับสนุนร่างพรบ.คุ้มครองแรงงาน ของนางสาววรรณวิภา ไม้สน ที่กำลังพิจารณาอยู่ในรัฐสภาขณะนี้ สาระสำคัญของพรบ.นี้คือการอนุญาติให้แรงงานหญิงสามารถลาได้เมื่อเป็นประจำเดือนโดยได้รับค่าจ้าง เนื่องจากเราอาการปวดประจำเดือนของแต่ละคนมีความรุนแรงและระยะเวลาไม่เท่ากัน เราไม่ต้องการบีบบังคับให้คนทำงานขณะมีความเจ็บปวด ยังเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศตามหลักการ SDGs และสุขภาวะอนามัยของผู้หญิง สอดคล้องกับหลักการหมวด 8 ของ Decent Work งานที่ให้โอกาสและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมสำหรับหญิงและชายทุกคน (ความเท่าเทียมทางเพศ)
ทั้งนี้เครือข่ายแรงงานภาคเหนือได้ขับเคลื่อนสิทธิการลาเมื่อเป็นประจำเดือนมาอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2568 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ประกาศเชิญชวนสถานประกอบการทั้งประเทศให้อนุญาติให้ลูกจ้างสามารถลาได้โดยได้รับค่าจ้างเมื่อเป็นประจำเดือน โดยในประกาศได้อ้างถึงข้อเรียกร้องเดือนธ.ค. 2567 ของเครือข่ายแรงงานภาคเหนือ
ข้อเสนอ Decent Work
หมวด 1 งานที่นำมาซึ่งโอกาสในการทำงานและรายได้ที่เป็นธรรม
- รัฐบาลต้องมีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานที่มีอยู่แล้วอย่างเคร่งครัด เนื่องจากแรงงานจำนวนมากยังเผชิญกับการถูกขโมยค่าจ้าง (wage theft) โดยต้องทำงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ยังต้องทำงานเกินชั่วโมงการทำงานโดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลา ยังถูกหักค่าจ้างเป็นการลงโทษ นายจ้างหักเงินแต่ไม่นำส่งประกันสังคม ถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ฯลฯ โดยรัฐต้องเพิ่มจำนวนพนักงานตรวจแรงงานให้มากขึ้น 10 เท่า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 1 คน ต่อประชากร 100,000 คน เป็น 1 ต่อ 10,000 คน รัฐบาลต้องทำให้การตรวจสอบเรื่องร้องเรียนด้านแรงงานสามารถตรวจสอบออนไลน์ได้
- รัฐต้องกำหนดให้แพลตฟอร์มการจ้างงานต่างๆ แพลตฟอร์มรับส่งอาหาร ต้องมีค่าจ้างขั้นต่ำ และต้องเปิดเผย algorithm หรือขั้นตอนวิธีการทำงานของแพลตฟอร์ม ที่เป็นตัวกำหนดว่าแรงงานคนไหนจะได้งาน ไม่ได้งาน ได้งานแบบไหน ได้ค่าจ้างเท่าไร ให้มีความโปร่งใส เป็นธรรมต่อแรงงานและการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น
- ขอให้รัฐบาลกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 700 บาทต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นเร็วกว่าค่าจ้าง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลต้องใช้หลักค่าจ้างเพื่อชีวิต (Living Wage) ในการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ รัฐบาลต้องแก้ไขกฎกระทรวงให้การสรรหาคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ มีความโปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย เปิดเผยบันทึกการประชุมค่าจ้างทุกครั้ง เปิดเผยข้อมูลและสูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำ
- ปกป้องแรงงานสร้างสรรค์ เช่น นักออกแบบกราฟิก, นักวาด, นักพากย์เสียง, นักเขียน, ช่างภาพ, คนทำหนัง โดยการไม่ให้นำผลงานไปฝึกสอน AI โดยที่แรงงานไม่ยินยอม หากตรวจพบแรงงานต้องมีสิทธิ์เอาโทษและได้เงินค่าลิขสิทธิ์
หมวด 2 งานที่ทำให้รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเมื่ออยู่ที่ทำงาน
- รัฐบาลและรัฐสภาต้องแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยเร็วที่สุด โดยห้ามนำเข้าสินค้าที่มีกระบวนการผลิตจากการเผา และกำหนดให้ผู้ปล่อยมลพิษต้องจัดทำรายงานความโปร่งใสให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพราะผู้ที่ได้รับกระทบมากที่สุดจากฝุ่นคือแรงงานที่ทำงานนอกบ้าน ไม่สามารถหยุดงานได้ เช่น แรงงานก่อสร้าง แรงงานส่งอาหาร พนักงานรักษาความปลอดภัย ผู้ประกอบอาชีพค้าขายอิสระ ฯลฯ ส่งผลต่อการพัฒนาทางสมองของลูกหลานพี่น้องแรงงานที่จะโตมาเป็นแรงงานของชาติอีกต่อหนึ่ง
- รัฐบาลต้องเพิ่มโทษของนายจ้างที่ละเมิดสิทธิแรงงาน ทั้งเพิ่มโทษปรับ โทษจำคุก และเพิกถอนสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น การลดหย่อนภาษี ให้กองติดตามและประเมินผลของ BOI มีช่องทางร้องเรียนด้านการละเมิดสิทธิแรงงานเพื่อเพิกถอนสิทธิประโยชน์
หมวด 3 งานที่สามารถสร้างความมั่นคง-ความคุ้มครองทางสังคมให้กับครอบครัว
- รัฐบาลต้องให้ความคุ้มครองด้านแรงงานแก่แรงงานทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกและไม่เลือกปฏิบัติ แรงงานทุกกลุ่มต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานภาครัฐ แรงงานมหาวิทยาลัย แรงงานภาคประชาสังคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร แรงงานที่ทำงานให้พรรคการเมือง แรงงานอิสระ แรงงานแพลตฟอร์ม แรงงานนอกระบบ แรงงานภาคเกษตร แรงงานประมง แรงงานข้ามชาติ แรงงานที่ทำงานบ้าน ลูกจ้างชั่วคราวเหมาค่าแรงของภาครัฐ แรงงานบริการ
- ให้แรงงานทุกคนเข้าสู่ระบบประกันสังคมแบบถ้วนหน้า โดยไม่แบ่งแยกอาชีพ สภาพการจ้าง และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ ตามหลักเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ตลอดจนเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เช่น เงินอุดหนุนบุตร ค่าคลอดบุตร บำนาญ ประกันการว่างงาน ค่ารักษาพยาบาล บำนาญชราภาพ และขยายเพดานเงินสมทบของผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 15,000 บาทในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้การสมทบเป็นแบบถดถอย (regressive) กล่าวคือ มีมากต้องจ่ายสมทบมากเช่นเดียวกับภาษี เพิ่มอัตราสมทบจากฝั่งนายจ้างเป็น 15%
- รัฐต้องจัดให้มีรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income: UBI) แก่ประชากรทุกคน ไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจนเดือนละ 3,000 บาท เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและพัฒนาศักยภาพแรงงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานอิสระ แรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้มีสวัสดิการเหมือนแรงงานในระบบ
- เตรียมมาตรการรับมือการปิดสถานประกอบการ การถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้ค่าชดเชย จากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ขยายเงินประกันการว่างงานเป็น 80% ของเงินเดือน ให้รัฐบาลขยายแหล่งที่มาของรายได้ในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยให้จัดเก็บเงินจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย เพื่อเป็นเงินสำรองจ่ายให้กับคนงานในกรณีปิดกิจการ ให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มพนักงานทั้ง 4 บริษัท ที่กำลังชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลโดยด่วนที่สุด
- รัฐบาลต้องเก็บภาษีความมั่งคั่ง (Net Wealth Tax) โดยกำหนดผู้มีทรัพย์สิน 30,000,000 บาท หรือกลุ่มที่มีความมั่งคั่งบนสุด 0.1% ของประเทศ ต้องจ่ายภาษีฐานความมั่งคั่งแก่รัฐในอัตรา 1% ของทรัพย์สินทุกปี โดยสามารถพิจารณาเก็บมากขึ้นแบบขั้นบันได เช่น มีทรัพย์สินมากกว่า 100,000,000 บาท ต้องจ่ายภาษีความมั่งคั่ง 2% ต่อปี
- รัฐต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีน้ำประปาสะอาดดื่มได้ทุกพื้นที่
หมวด 4 งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง
- รัฐต้องกำหนดเวลาทำงานพื้นฐาน 4 วัน หรือ 32 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานทุกภาคส่วนจะได้รับความคุ้มครองและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะบุคลาการด้านสาธารณสุขต้องทำงานไม่เกิน 60 ชม.ต่อสัปดาห์ อีกทั้งยังได้รับการพิสูจน์ในหลายประเทศแล้วว่าทำให้แรงงานมีผลิตภาพมากขึ้น
- รัฐบาลหรือรัฐสภาต้องกำหนดให้มีวันลาพักผ่อนแก่แรงงานทุกคนไม่ต่ำกว่า 25 วันต่อปี สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ 132 ของ ILO ที่ต้องกำหนดให้แรงงานมีวันพักผ่อนต่อปีไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์ทำงาน และควรมีสิทธิการหยุดงานไปลาครอบครัวที่กำลังจะเสียชีวิต สิทธิหยุดงานในวันที่เป็นประจำเดือน ในวันที่มีอาการเครียด และในวันที่มีอาการหมดไฟในการทำงาน (Burn out)
หมวด 5 งานที่ช่วยให้ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social integration)
- ขอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี เพื่อเลิกการตีตราและกดทับพนักงานบริการทางเพศ
- แรงงานข้ามชาติสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานได้ด้วยตนเองตลอดทั้งปี โดยมีกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน ใช้เอกสารและค่าใช้จ่ายน้อย และมีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ให้บริการตลอดทั้งปี มีกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานและการอาศัยอยู่ในประเทศของแรงงานข้ามชาติกำหนดระยะเวลาของใบอนุญาตทำงานและการต่อวีซ่าให้สอดคล้องกับอายุของหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัว อนุญาตให้แรงงานทำงานไม่ผูกติดกับนายจ้างเพียงคนเดียว และปรับปรุงประกาศกระทรวงเรื่องงานให้แรงงานข้ามชาติสามารถทำงานได้ทุกอาชีพตามความสามารถของตน
- กำหนดบทลงโทษนายหน้าหรือนายจ้างที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด
- ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติทุกคนต้องเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ โดยปรับอัตราค่าประกันสุขภาพสำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 18 ปี เป็น 365 บาท/ปี/คน เข้าถึงสิทธิการศึกษาอย่างเท่าเทียมและต่อเนื่อง ทั้งในระบบ นอกระบบ และไม่ถูกบังคับใช้แรงงาน
- รัฐบาลต้องสร้างศูนย์ดูแลเด็ก (Childcare) ให้พ่อแม่เข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เด็กมีพัฒนาการทางกายและสติปัญญาสูงที่สุด ยังเป็นการส่งเสริมการทำงานในตลาดแรงงานของแม่ พ่อแม่มีเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิต
- รัฐบาลต้องทำให้พี่น้องแรงงานเข้าถึงสิทธิในการเดินทาง โดยจัดให้มีขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ไฟฟ้า ขนส่งระบบรางเบา ที่มีความทั่วถึง ตรงเวลา ราคาถูก เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดอุบัติเหตุในการเดินทางแก่พี่น้องแรงงาน และจัดให้มีเลนจักรยานแยกออกมาต่างหาก ทำทางเท้าให้ดี เพื่อความเท่าเทียมกันของวิธีการเดินทาง
- รัฐบาลบาลต้องจัดเตรียมล่ามแปลภาษาต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาใช้บริการหรือร้องเรียน
หมวด 6 งานที่สนับสนุนการมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกถึงความห่วงกังวลต่าง ๆ & หมวด 7 งานที่สนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องใด ๆ ที่อาจจะกระทบกับชีวิตของผู้ที่ทำงาน
- รัฐบาลและรัฐสภาต้องส่งเสริมการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน ให้แรงงานทุกอาชีพ ทุกสภาพการจ้าง โดยเฉพาะแรงงานภาครัฐและแรงงานข้ามชาติ รัฐบาลต้องให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง
หมวด 8 งานที่ให้โอกาสและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมสำหรับหญิงและชายทุกคน (ความเท่าเทียมทางเพศ)
- รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการในการกำจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิทั้งทางการเมืองและทางเพศ โดยเฉพาะผู้มีความหลากหลายทางเพศ ตั้งแต่ความคิดทางการเมือง การรับเข้าทำงาน การไม่จ้างคนท้อง ค่าจ้างที่ไม่เท่ากันระหว่างเพศ การรับบริจาคเลือดของสภากาชาด
- พิจารณาสวัสดิการรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น เช่น ผ้าอนามัยฟรี, เงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้าจนอายุ 18 ปี, ค่าตอบแทนของคนทำงานดูแล (care income), กล่องสวัสดิการเด็กแรกเกิด
ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ
ติดต่อ:เลขาธิการเครือข่ายแรงงานภาคเหนือ เริงฤทธิ์ ละออกิจ 099-283-6664